ถ้าพูดถึงการขับขี่แบบ กระบะออฟโรด เชื่อว่า หลายคนอาจจะเคยได้ยินกันหรือรู้จักกันมาในระดับหนึ่งแล้ว จากการเรียกติดปากว่ารถออฟโรด แต่แท้จริงแล้วรถออฟโรด เป็นชื่อเรียกรถ หรือวิธีการขับรถกันแน่

แน่นอนครับ ว่ารถออฟโรดนั้น ถูกเรียกจากวิธีการขับแบบออฟโรด ซึ่งชื่อของมัน ก็แทบจะบอกและจบในตัวของมันแล้ว ว่าออฟโรด ก็คือ ไม่ได้ขับบนถนนทางเรียบอย่างแน่นอน แต่การขับขี่แบบออฟโรดนั้น มีอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ และเกี่ยวข้อง และในปัจจุบัน ก็มีความนิยมมากขึ้น เนื้องจากกระแสสายลุยที่ฮอตฮิตกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง แคมป์ปิ้ง การบุกป่าฝ่าดง เพื่อเข้าไปชมบรรยากาศสวยๆ ที่ทางเรียบอาจไม่เคยได้สัมผัส เพราะกระแสรถทางลุย หรือกระบะทางลุยมีเยอะมากขึ้น

วันนี้เราจึงมาทำความรู้จักกับการขับขี่แบบออฟโรด และ ยางกระบะออฟโรดกันให้มากขึ้น

 

ออฟโรดคืออะไร ? ไขให้กระจ่าง 

การขับขี่แบบออฟโรด (Off-road driving) หมายถึง การขับรถหรือยานพาหนะในสภาพที่ไม่ได้รับการปรับแต่ง หรือ ปรับสภาพเส้นทางเป็นพิเศษ เช่น ถนนนอกมือง หรือเส้นทางในป่า  ทางที่มีอุปสรรคหรือ เช่น ทางในสภาพเป็นป่า ถนนหิน ถนนขาด หรือทางเขาสูง การขับขี่แบบออฟโรดมักเกิดขึ้นในกิจกรรมออกท่องเที่ยวและกิจกรรมกลุ่ม เช่น การตกปลาหรือการพักผ่อนในสถานที่ที่เข้าถึงได้ยาก ในบางกรณี รถหรือยานพาหนะที่ใช้ในการขับขี่แบบออฟโรดอาจต้องปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มส่วนประกอบ เช่น  เพื่อรับสภาพเส้นทางที่ท้าทายยิ่งขึ้น

รถออฟโรด (Off-road vehicle) เป็นรถยนต์ หรือ ยานพาหนะที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการขับขี่ในเส้นทางที่ลำบาก ที่ราบลุ่ม ไม่ใช่ทางเรียบทั่วๆไป หรือบนท้องถนนที่เราคุ้นเคย รถออฟโรดมักมีลักษณะที่แข็งแกร่ง และ สามารถเผชิญกับพื้นผิวที่ท้าทายได้ตลอดเวลา เช่น ภูเขาสูง ป่า ทางดินที่ลาดชัน หรือพื้นที่แคบและลาดชัน  เพื่อรองรับการขับขี่ในสภาพเช่นนี้ รถออฟโรดจึงมีคุณสมบัติทางเทคนิคที่เพิ่มความแข็งแรง  อาจมีทั้งระบบขับเคลื่อนทั้งสี่ล้อ (4WD) หรือสองล้อ (2WD) ซึ่งช่วยให้รถสามารถเอาชนะทุกอุปสรรคและเข้าถึงพื้นที่ลาดชันหรือซับซ้อนได้ง่ายขึ้น รถออฟโรดมักมีล้อใหญ่และระยะโค้งที่ให้ความยืดหยุ่นสูง เพื่อให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ท้าทาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยกว่ารถยนต์ทั่วไปในสภาพทางเดียวกัน

 

มาดูกันว่า รถยนต์ที่ใช้สำหรับการขับขี่ออฟโรดนั้น ขับเคลื่อนกี่แบบ ?

 

รถขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) 

 ระบบนี้ทำให้ล้อทั้งสี่ของรถหมุนไปทางเดียวกัน โดยระบบจะมีกล่องเกียร์พิเศษที่ช่วยในการแบ่งแรงขับไปยังล้อแต่ละล้อ เพื่อให้มีการกระจายแรงต้านทานและเพิ่มการเกาะติด  เช่น ถนนที่เปียกลื่น ถนนทราย ถนนดิน หรือทางลาดยาง เป็นต้น

รถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือ 4WD เป็นระบบที่ออกแบบ โดยให้เครื่องยนต์กระจายกำลังไปทั้ง 4 ล้อ ตามอัตราส่วนของแรงเสียดทาน และ รูปแบบการขับขี่ ซึ่งสามารถเพิ่มอัตราทดเกียร์ได้ ทำให้รถ 4WD สามารถยึดเกาะถนนได้ดีกว่ารถขับเคลื่อน 2 ล้อ เหมาะสำหรับการใช้งานที่สมบุกสมบัน เส้นทางวิบาก ถนนแบบออฟโรด (Off-Road) หรือขึ้นเขาสูงชัน มากกว่าขับในเมือง ซึ่งรถยนต์แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็ยังมีหลากหลายแบบให้เลือก ได้แก่ แบบ Part-Time , แบบ Full Time และ Real-Time ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้งานได้ความเหมาะสม 

 

รถขับเคลื่อน 2 ล้อ (2WD) 

หมายถึงรถยนต์หรือยานพาหนะที่มีระบบขับเคลื่อนเพียงสองล้อเท่านั้น โดยล้อทั้งสองจะเป็นล้อด้านหน้าหรือล้อด้านหลังเท่านั้นที่ได้รับแรงขับจากเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อมีลักษณะที่ล้อด้านหน้าหรือด้านหลังจะรับผิดชอบในการเข้ารอบ และ แบ่งแรงขับไปยังพื้นผิวเพื่อขับเคลื่อนรถ

รถขับเคลื่อน 2 ล้อมักนิยมใช้ในรถยนต์ประเภทเมือง หรือที่ใช้ในการเดินทางในสภาพถนนที่เรียบ ๆ  เช่น ถนนธรรมดา ถนนลาดชันน้อย หรือทางด่วน รถยนต์ 2WD มักมีการควบคุมแรงเร่งและการเติมน้ำมันเพียงล้อเดียว เนื่องจากมีแรงเสียดทาน และ การเกาะติดต่ำกว่ารถขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่รถยนต์ 2WD มักมีความเร็วสูงกว่า และ ประหยัดน้ำมันกว่า รถยนต์ 4WD ที่ใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์เพิ่มเติมในระบบขับเคลื่อน

 

เมื่อทำความรู้จักกับประเภทรถยนต์สำหรับทางออฟโรดกันไปแล้ว ถัดมา คือสิ่งสำคัญที่สุด ในการขับขี่แบบออฟโรด นั่นก็คือ ยางรถยนต์ หรือยาง กระบะออฟโรด 

ยางรถยนต์สำหรับการขับออฟโรด มักมีลักษณะที่แตกต่างจากยางรถยนต์ที่ใช้ในการขับบนถนนปกติ เนื่องจากต้องเผชิญกับพื้นผิวที่ขรุขระ  ซึ่งสภาพพื้นผิวในการขับออฟโรด มักเจอดินทรายและสภาพเส้นทาง ที่ท้าทาย เป็นอย่างมาก  หรือในบางครั้งจำเป็นต้องใช้ ยางกระบะบรรทุกหนัก เพื่อรองรับอุปกรณ์ในการขับขี่ ที่มีความจำเป็นในการเดินทาง

 

ลักษณะของ ประเภทยางรถ กระบะออฟโรค สำหรับการขับออฟโรด มีดังนี้:

  1. ยางลายเส้นรอย (Tread pattern): ยางสำหรับการขับออฟโรด มักมีลายเส้นรอยที่ลึก ที่ช่วยในการเกาะติดกับพื้นผิว ลายเส้นรอยที่มีรอยลึก จะช่วยระบายน้ำ และละอองให้ดีเมื่อขับในสภาพที่มีน้ำหรือสกปรก
  2. ยางที่มีขอบยางแข็งแรง (Sidewall strength): ยางสำหรับการขับออฟโรด จำเป็นต้องมีขอบยางที่แข็งแรง และทนทาน เพื่อป้องกันการทำลายจากการชน หรือเพื่อฝ่าอุปสรรคในทางดิน 
  3. ยางที่มี เนื้อยางที่ทนทาน (Durable rubber compound): ยางสำหรับการขับออฟโรดมักมีเนื้อยางที่ทนทานต่อการสึกกร่อน และการเสื่อมสภาพ ในสภาพเส้นทางออฟโรดที่สึกกร่อนและเจออุปสรรคต่าง ๆอยู่ตลอดเวลา เช่น หลุมถนน หิน หรือรากของต้นไม้
  4. ยางที่มีความยืดหยุ่น (Flexibility): ยางสำหรับการขับออฟโรดมักมีความยืดหยุ่นที่สูง เพื่อให้สามารถปรับตัวตามพื้นผิวถนนได้

 

การขับออฟโรดมีหลายรูปแบบ โดยรูปแบบหลักๆ มีดังนี้

  1. Cross-country driving: การขับขี่บนเส้นทางออฟโรดที่มีความยากลำบากเช่น พื้นดินลาดชัน หิน หรือหลุม โดยการใช้เทคนิคการเร่งเต็มสูบและความเร็วที่เหมาะสมในสภาพเส้นทางต่าง ๆ
  2. Trail driving: การขับขี่ในเส้นทางทางเท้าที่มีความแคบและลำบาก เช่น เส้นทางในป่าหรือเขา 
  3. Mud driving: การขับขี่ในสภาพถนนที่เปียกชื้น หรือมีน้ำแฉะ โดยการใช้แรงบิด และสมดุลของรถเพื่อเข้าไปในสภาพน้ำลึกหรือโคลนเปียก
  4. Rock crawling: การขับขี่ในเส้นทางที่มีซากหินหรือทางหินอันตราย โดยการใช้ความชำนาญในการควบคุมรถยนต์ในทางเดินลงทางเดินขึ้นทางดินลาดชัน การใช้รถ เพื่อปีนป่ายหิน 
  5. Hill climbing: การขับขี่บนเขาที่ลาดชันและมีความเอียงสูง โดยการใช้เทคนิคขับรถในสภาพที่มีแรงโน้มถ่วงที่มาก เช่นการขับขี่ตามเนินเขาต่างๆ 
  6. Jumping: การขับขี่แบบกระโดดรถลอยตัวในอากาศหรือเกาะบนทางขึ้นลง

เพราะการขับรถแบบออฟโรดนั้นไม่ง่าย มาดูกันว่า ข้อควรระมัดระวังเป็นพิเศษ  และเทคนิคการขับขี่รถที่ต้องคำนึงถึงนั้นมีอะไรกันบ้าง 

 

ความระมัดระวังในการเลือกเส้นทาง

เลือกเส้นทางที่เหมาะสมสำหรับรถยนต์ออฟโรด โดยพิจารณาสภาพเส้นทาง ความเสี่ยงต่างๆ และความยากลำบากของเส้นทาง ต้องศึกษาให้มั่นใจ เพื่อความปลอดภัย

 

การควบคุมความเร็ว

ควรควบคุมความเร็วของรถในการขับออฟโรดอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการสูญเสียการควบคุมในเส้นทางที่ไม่คุ้นชิน

 

การใช้เบรก

เบรกเป็นระยะๆ หลีกเลี่ยงการใช้เบรกอย่างกระชั้นชิด ที่อาจทำให้ล้อล็อคหรือรถสะเทือน

 

แต่งระบบขับเคลื่อน

ค้นหาอุปกรณ์หรือระบบที่ช่วยเพิ่มความเสถียรภาพและประสิทธิภาพของรถยนต์ออฟโรด เช่น ระบบเพิ่มแรงบิด (limited slip differential) หรือระบบ (hill descent control)

 

หมั่นตรวจเช็กสภาพเครื่อง 

ตรวจสอบสภาพรถยนต์และอุปกรณ์ก่อนการขับขี่ออฟโรด เช่น ระดับน้ำมันเครื่องยนต์ น้ำมันเบรก และลดระดับลมยาง เตรียมไว้ให้พร้อม

 

การขับขี่แบบออฟโรด เป็นการขับขี่ที่บ่งบอกความหมายอยู่ในตัวเองว่าไม่ได้ขับในทางที่ปกติ อาจจะต้องบุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขา ลงลำธาร ปีนป่ายอุปสรรคต่างๆ ทั้งที่คาดเดาได้หรือคาดเดาไม่ได้ และการขับขี่แบบออฟโรดก็มีอยู่มากมายหลายแบบ เพราะฉะนั้นแล้ว การเลือกรถ เลือกยางรถยนต์ หรือ เลือกอุปกรณ์การตกแต่งรถนั้น ย่อมต้องมีความเชี่ยวชาญ ความชำนาญ หรือมีความรู้เกี่ยวกับอุปสรรคเส้นทางและความปลอดภัย ประมาณนึงเลยทีเดียว 

โดยเฉพาะการเลือกยางรถยนต์ จำเป็นต้องเลือกให้เหมาะกับการขับขี่ เพราะดอกยางสำหรับการขับขี่ออฟโรดนั้น เป็นดอกยางเฉพาะตัว และมีประสิทธิภาพ ในแบบที่ยางทั่วไปไม่สามารถทำได้ 

การเลือกแบรนด์ของยางรถยนต์ ยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงเป็นที่สุด เพราะจะเป็นเครื่องหมายการันตีว่า มาตรฐานการผลิตจะอยู่ในระดับสูงและมีความปลอดภัยที่วางใจได้  รวมถึง สมรรถนะที่เยี่ยมยอด เพื่อให้การขับขี่ของคุณ สนุก และมีประสิทธิภาพสูงสุด 

 

และสิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ คือการเตรียมพร้อมของรถและยางรถยนต์ เพื่อการปลอดภัยในการขับขี่

และนี่ก็เป็นเทคนิคดีๆของการขับขี่ในแบบออฟโรดที่หวังว่าคงจะถูกใจใครหลายๆคน 

อย่าลืมขับขี่ปลอดภัยและไว้ใจยางรถยนต์คุณภาพดีมาตรฐานระดับโลกอย่าง Nitto Tires นะครับ


เคล็ดลับล่าสุด